วิกฤตสินค้าขาดแคลน: ข้าว น้ำตาล และน้ำมันพืช
ปัจจุบันไทยเผชิญวิกฤตขาดแคลนสินค้าหลักอย่างข้าว น้ำตาล และน้ำมันพืช จากปัจจัยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ภัยแล้ง การส่งออกพุ่งสูง และปัญหาห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ราคาปลีกในประเทศพุ่งสูงขึ้น รัฐบาลจึงต้องออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาและความมั่นคงทางอาหาร
1. ขาดแคลนข้าว
ปริมาณผลผลิตข้าวฤดูกาลล่าสุดลดลงร้อยละ 12 เนื่องจากภัยแล้งในแหล่งปลูกหลักอย่างภาคกลาง ทำให้ปริมาณข้าวเก็บในสต็อกแผ่นดินเหลือเพียง 5 ล้านตัน เทียบกับเป้าหมาย 8 ล้านตัน รัฐบาลจึงสั่งห้ามส่งออกข้าวสารหอมมะลิชั่วคราว และเตรียมเปิดประมูลสต็อกสำรองออกมาขายให้ราคาถูกลง
2. ราคาน้ำตาลพุ่ง
ผลผลิตอ้อยลดลงร้อยละ 10 จากโรคใบไหม้ อ้อย ส่งผลให้น้ำตาลทรายขาดตลาด ราคาเฉลี่ยตลาดโลกพุ่งเป็น 600–650 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน รัฐจึงเพิกถอนสิทธิส่งออกน้ำตาลเกินโควตา และส่งเสริมโรงงานผลิตน้ำตาลดิบให้เปลี่ยนผลิตเป็นเอทานอลร่วม ลดภาระสต๊อกน้ำตาลบริโภค
3. การขาดแคลนน้ำมันพืช
การนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบจากมาเลเซียและอินโดนีเซียชะลอตัว ทำให้สต๊อกน้ำมันพืชปรับลดเหลือ 200,000 ตัน รัฐบาลจึงจำกัดการส่งออกน้ำมันปาล์ม ขยายเพดานสำรองสต๊อก และอนุมัติการนำเข้าน้ำมันถั่วเหลืองจากประเทศที่สามเพื่อชดเชย
4. มาตรการเยียวยาและควบคุมราคา
- ตรึงราคาข้าวสารเจ้าฟ้าสมเด็จพระเทพฯ ในร้านธงฟ้าราคาถูกไม่เกิน 20 บาทต่อกิโลกรัม
- กำหนดราคาอ้างอิงน้ำตาลทรายไม่เกิน 25 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับร้านค้าปลีก
- ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันพืชลง 5% ชั่วคราว และส่งเสริมโรงงานสำรองสต๊อกภาคประชาชน
5. แนวทางระยะยาว
รัฐบาลเตรียมพัฒนาระบบชลประทานอัจฉริยะและส่งเสริมเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) เพิ่มโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กในชุมชน และสนับสนุนการวิจัยพันธุ์ข้าวและอ้อยทนแล้ง เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารในระยะยาว
สรุปแล้ว วิกฤตขาดแคลนข้าว น้ำตาล และน้ำมันพืช สะท้อนถึงความเสี่ยงห่วงโซ่อุปทานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐบาลจึงต้องผสานมาตรการระยะสั้นและระยะยาว เพื่อบรรเทาผลกระทบและเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารให้ยั่งยืน
Don't miss a story
Subscribe to our email newsletter:
Don't worry we hate spam as much as you do



