จีนทดสอบ AI ควบคุมการจราจรอัจฉริยะในเมืองใหญ่ ยกระดับเมืองสู่ Smart City แห่งอนาคต
ประเทศจีนเดินหน้าทดลองใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการบริหารจัดการการจราจรในเมืองใหญ่ทั่วประเทศ นับเป็นอีกก้าวสำคัญของยุทธศาสตร์ “Smart City” ที่รัฐบาลกลางให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด ลดอุบัติเหตุ เพิ่มความปลอดภัย และสร้างมาตรฐานใหม่ของการเดินทางในยุคดิจิทัล การทดสอบครั้งนี้เริ่มขึ้นในมหานครเซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เซินเจิ้น กว่างโจว และเมืองหลักในภูมิภาคอื่น ๆ ซึ่งแต่ละเมืองมีระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีและ IoT ที่พร้อมรองรับนวัตกรรมใหม่นี้อย่างเต็มรูปแบบ
ระบบ AI ที่ใช้ในการควบคุมจราจรอัจฉริยะของจีน อาศัยข้อมูลแบบเรียลไทม์จากกล้องวงจรปิด เซ็นเซอร์ถนน ดาวเทียม GPS และข้อมูลจากแอปพลิเคชันนำทางบนมือถือ เพื่อนำมาวิเคราะห์ทิศทางความหนาแน่นของรถยนต์ การเคลื่อนไหวของคนข้ามถนน สัญญาณไฟจราจร รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น สภาพอากาศ อุบัติเหตุ หรือการก่อสร้างบนท้องถนน จากนั้น AI จะคำนวณและสั่งการสัญญาณไฟจราจรในแต่ละแยกให้ปรับเปลี่ยนตามสภาพจริงแบบอัตโนมัติ

ผลลัพธ์และประโยชน์ที่เห็นได้ชัด
จากการทดสอบเบื้องต้นในเซี่ยงไฮ้ พบว่าการใช้ AI จัดการไฟจราจรช่วยลดเวลารอของรถยนต์ในชั่วโมงเร่งด่วนลงได้ถึง 20-35% ลดปริมาณคาร์บอนฟุตพรินต์จากการจราจรติดขัดได้ปีละหลายล้านตัน อีกทั้งยังลดอัตราอุบัติเหตุในทางแยกและทางม้าลาย เพราะระบบจะปรับสัญญาณไฟและเตือนคนข้ามถนนโดยอัตโนมัติเมื่อมีความเสี่ยง
ในกรุงปักกิ่งและเมืองใหญ่ของจีน AI ยังสามารถบริหารจัดการเส้นทางรถสาธารณะและรถฉุกเฉิน เช่น รถพยาบาลหรือรถดับเพลิง ให้สามารถเดินทางถึงที่หมายได้เร็วขึ้น ด้วยการจัดสรรเส้นทางที่โล่งที่สุดแบบทันที (Real-time rerouting) พร้อมทั้งแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงให้หลีกทางผ่านแอปพลิเคชันสมาร์ทโฟน
AI ยังช่วยวิเคราะห์ข้อมูลการใช้ถนนระยะยาว เพื่อนำไปวางแผนปรับปรุงถนน สะพาน ทางจักรยาน และระบบขนส่งมวลชน ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการเดินทางที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ประชาชนที่เข้าร่วมโครงการนำร่องต่างให้ความเห็นว่าการจราจรคล่องตัวขึ้น เหตุการณ์รถติดแบบ “ถนนโล่งแต่แยกติด” ลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด และการเดินทางโดยรถสาธารณะในเมืองหลักใช้เวลาน้อยลงราว 10-20% ต่อเที่ยว
ความท้าทาย ข้อควรระวัง และแนวทางในอนาคต
แม้ผลลัพธ์จะออกมาน่าประทับใจ แต่ยังมีความท้าทายหลายประการ ทั้งเรื่องความปลอดภัยของข้อมูล (Data Privacy) การป้องกันการเจาะระบบ หรือการแฮ็ก AI ควบคุมไฟจราจร และการแก้ปัญหาในสถานการณ์ผิดปกติ เช่น ระบบขัดข้องกะทันหัน หรือเหตุฉุกเฉินในพื้นที่ที่ไม่มีระบบสำรอง
ภาคประชาชนและนักวิชาการบางกลุ่มแสดงความกังวลว่า การนำ AI มาใช้ควบคุมเมืองอาจนำไปสู่การเก็บข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป รัฐบาลจีนจึงออกแนวปฏิบัติและกฎหมายควบคุมการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสังคม
อย่างไรก็ตาม จีนยังคงเดินหน้าขยายโครงการ Smart Traffic AI ไปยังเมืองระดับกลางและเล็กมากขึ้น และมีแผนจะเปิดใช้งานระบบนี้กับระบบขนส่งสาธารณะระหว่างเมืองในอนาคตอันใกล้ เพื่อสร้าง “โครงข่ายเมืองอัจฉริยะ” ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในโลก
นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยร่วมกับมหาวิทยาลัยและบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก พัฒนา AI ให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งใหม่ ๆ เช่น โดรน ภาพถ่ายดาวเทียม หรือการจดจำใบหน้าบนท้องถนน เพื่อยกระดับการจัดการเมืองให้ทันสมัยและปลอดภัยสูงสุด
บทเรียนและโมเดลต้นแบบสำหรับประเทศอื่น
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การที่จีนกล้า “ทดลองใหญ่” กับเมืองหลักนับสิบล้านคน ถือเป็นก้าวสำคัญที่ประเทศกำลังพัฒนาอื่นควรศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการสร้างระบบโครงข่าย IoT ตั้งแต่ต้นทาง การใช้ Big Data ควบคู่กับ AI เพื่อวางแผนเมืองในระยะยาว และการปรับเปลี่ยนนโยบายให้ยืดหยุ่นกับข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
หลายประเทศในเอเชียและยุโรปเริ่มส่งทีมงานไปศึกษาระบบของจีน เพื่อเตรียมนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้ในเมืองของตนในอนาคต ภายใต้โจทย์เดียวกันคือ “ลดรถติด เพิ่มคุณภาพชีวิต” และยกระดับเมืองสู่ Smart City ที่ยั่งยืนและปลอดภัยยิ่งขึ้น
จีนประกาศว่าภายในปี 2030 จะเป็นผู้นำเทคโนโลยีเมืองอัจฉริยะครบวงจร และตั้งเป้าขยาย AI จราจรครอบคลุมเมืองสำคัญ 100 เมืองทั่วประเทศ พร้อมสนับสนุนภาคเอกชนและสตาร์ทอัพให้พัฒนาโซลูชั่นใหม่ ๆ เพื่อชีวิตคนเมืองที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง
Don't miss a story
Subscribe to our email newsletter:
Don't worry we hate spam as much as you do



