เสียงประชาชนสะท้อนรัฐธรรมนูญ : จะมีเลือกตั้งใหญ่หรือยุบสภา?
กระแสการเมืองไทยกำลังเดินมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง เมื่อเสียงเรียกร้องของประชาชนและแรงกดดันจากหลายภาคส่วน เริ่มโยงไปถึงคำถามสำคัญว่า ประเทศจะเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ตามวาระ หรืออาจนำไปสู่การยุบสภาก่อนกำหนด ท่ามกลางข้อถกเถียงเกี่ยวกับความเหมาะสมของกติกาการเมืองตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน และความพร้อมของทุกฝ่ายในการกลับไปสู่สนามเลือกตั้งใหม่
ที่ผ่านมา สัญญาณความไม่พอใจของประชาชนต่อปัญหาทางการเมืองยังคงสะท้อนออกมาอย่างชัดเจน ทั้งในรูปแบบการเคลื่อนไหวของกลุ่มภาคประชาสังคม การสำรวจความคิดเห็นที่ชี้ให้เห็นว่าความเชื่อมั่นต่อพรรคการเมืองและนักการเมืองลดต่ำลง และการวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันยังไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง ความเหลื่อมล้ำ และการกระจายอำนาจได้จริง หลายฝ่ายจึงตั้งคำถามว่า การยุบสภาจะเป็นทางออกเพื่อล้างไพ่ทางการเมือง หรือจะซ้ำเติมความเปราะบางของระบอบประชาธิปไตยไทยให้วนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง
แง่มุมสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือประเด็นรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งแม้จะถูกออกแบบมาเพื่อเน้นความมีเสถียรภาพของรัฐบาล แต่ในทางปฏิบัติกลับถูกวิจารณ์ว่ากลายเป็นอุปสรรคต่อการแสดงออกของเจตจำนงประชาชน หลายเสียงมองว่ากติกาการเลือกตั้งในปัจจุบันอาจไม่สะท้อนเสียงส่วนใหญ่ได้เต็มที่ เช่น ระบบจัดสรรปาร์ตี้ลิสต์ที่ซับซ้อน หรือบทบาทของวุฒิสภาที่ยังคงมีอำนาจในกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรี ความคลุมเครือเช่นนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้เกิดข้อถกเถียงว่า หากจะมีการยุบสภาหรือจัดเลือกตั้งใหม่ ก็ควรมีการทบทวนและแก้ไขกติกาพร้อมกันไปด้วย เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์การเมืองไทยวนลูปแบบเดิม

ในอีกด้านหนึ่ง แรงกดดันจากภาคประชาชนและฝ่ายค้านยังคงรุกหนัก ทั้งการเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลกลางปี รวมถึงกระแสเรียกร้องให้จัดให้มีการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยมากขึ้น นักรัฐศาสตร์บางส่วนมองว่า หากรัฐบาลยังคงยืนกรานรักษาสถานะโดยไม่เปิดพื้นที่ให้มีการปรับโครงสร้างทางการเมือง อาจนำไปสู่สภาวะชะงักงันที่ยืดเยื้อ และท้ายที่สุดเสียงกดดันจากสังคมอาจนำไปสู่ทางเลือกสุดท้ายคือการยุบสภาก่อนกำหนด
อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายหนึ่งก็มีความเห็นว่า การยุบสภาในภาวะที่ความขัดแย้งยังสูง และเศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ อาจสร้างความเสี่ยงมากกว่าประโยชน์ เพราะนอกจากจะเกิดค่าใช้จ่ายมหาศาลในการจัดการเลือกตั้งแล้ว ยังอาจทำให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจระหว่างรอยต่อรัฐบาลเก่าและรัฐบาลใหม่ ซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เปราะบางอยู่แล้ว
ในขณะที่ฝ่ายรัฐบาลยังยืนยันเสียงแข็งว่า จะอยู่ครบเทอมเพื่อผลักดันนโยบายสำคัญให้เสร็จสิ้นตามแผน แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายค้านและประชาชนบางส่วนก็ยังคงโต้แย้งว่ารัฐบาลได้สูญเสียความชอบธรรมไปมากแล้ว ทั้งจากข้อกล่าวหาความไม่โปร่งใส ความเหลื่อมล้ำทางอำนาจในพรรคร่วม และการบริหารราชการที่ถูกมองว่ายังห่างไกลจากการแก้ไขปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริง
คำถามที่ตามมาคือ หากเกิดการเลือกตั้งใหญ่ขึ้นจริง โดยยังคงใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดิม จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างได้เพียงใด หรือจะเป็นเพียงการเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตัวผู้เล่น แต่เกมอำนาจยังคงดำเนินไปในกรอบเดิม นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์จึงเสนอว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญควรเกิดขึ้นคู่ขนานไปกับการเตรียมเลือกตั้ง เพื่อให้เสียงของประชาชนมีความหมาย และสร้างหลักประกันว่าผลการเลือกตั้งจะสะท้อนความต้องการที่แท้จริงของสังคมไทย
สุดท้ายแล้ว ปลายทางของการเมืองไทยจะไปสู่การเลือกตั้งใหญ่ตามโรดแมป หรือการยุบสภาก่อนกำหนด ล้วนขึ้นอยู่กับแรงกดดันของเสียงประชาชนและเกมการเมืองภายในสภาที่กำลังทวีความเข้มข้นในปีนี้ สิ่งที่สังคมไทยกำลังเฝ้ามองไม่ใช่เพียงแค่ตัวเลขวันเลือกตั้ง แต่คือคำตอบว่า “รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน” จะยังเป็นกติกาที่ตอบสนองประชาชนได้จริง หรือจะกลายเป็นสิ่งที่ฉุดรั้งศักยภาพของประชาธิปไตยไทยไว้ไม่ให้ก้าวพ้นเงื่อนไขทางอำนาจแบบเดิม ๆ อีกต่อไป
Don't miss a story
Subscribe to our email newsletter:
Don't worry we hate spam as much as you do



