ศึกซักฟอกกลางสภา ใครอยู่ ใครไป?
การเมืองไทยในช่วงกลางปีนี้กำลังเข้มข้นขึ้นอีกขั้น เมื่อฝ่ายค้านประกาศยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเปราะบางของรัฐบาลผสม เสียงปริ่มน้ำ และกระแสข่าวความขัดแย้งภายในพรรคร่วม ที่อาจปูทางไปสู่การเปลี่ยนขั้วอำนาจอย่างไม่คาดฝัน
การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงกลไกตามรัฐธรรมนูญเพื่อให้สภาทำหน้าที่ตรวจสอบฝ่ายบริหารเท่านั้น หากแต่เป็นเกมการเมืองชี้ชะตา “ใครอยู่ ใครไป” และใครจะเหลือรอดในตำแหน่งทางการเมืองเมื่อศึกนี้สิ้นสุด
เบื้องหลังแรงเขย่า: เมื่อเสถียรภาพเสียงเริ่มร้าว
สัญญาณการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจปรากฏตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี เมื่อฝ่ายค้านเริ่มเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโครงการจัดซื้อจัดจ้างขนาดใหญ่ ความล่าช้าของงบประมาณปีใหม่ การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง และพฤติกรรมการใช้อำนาจที่อาจขัดต่อหลักธรรมาภิบาล
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์จำนวนมากมองว่า ศึกซักฟอกครั้งนี้จะไม่ใช่แค่ “ลิเกการเมือง” แบบที่ผ่านมา เพราะปัจจัยที่ต่างออกไปคือเสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาลที่เริ่มมีรอยร้าวจากภายใน การจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีที่ไม่ลงตัว และแรงกระเพื่อมจากพรรคเล็กที่กำลังถูกฝ่ายค้านดึงเข้าหลังฉาก เพื่อให้คะแนนโหวตไม่ไว้วางใจอาจเกินกึ่งหนึ่ง

หัวหน้าฝ่ายค้านให้สัมภาษณ์ชัดว่า ญัตติอภิปรายรอบนี้จะพุ่งเป้าไปยังรัฐมนตรีคนสำคัญอย่างน้อย 3–5 ราย โดยมุ่งเจาะประเด็นทุจริตเชิงนโยบาย ความล้มเหลวในการบริหารจัดการวิกฤตเศรษฐกิจ และการใช้กลไกอำนาจรัฐแสวงหาผลประโยชน์
ฝ่ายค้านเตรียมอาวุธข้อมูล ทั้งหลักฐานเอกสาร ภาพถ่าย คลิปเสียง และคำให้การพยาน เพื่อให้การอภิปรายไม่ใช่เพียงการกล่าวหาแบบลอย ๆ แต่สร้างแรงกดดันในสภาและต่อสาธารณชน เพื่อชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ขาดความชอบธรรมและต้องมีคน “หลุดเก้าอี้”
หนึ่งในประเด็นร้อน คือท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลที่เสียงในสภาอยู่ในภาวะ “ปริ่มน้ำ” มาโดยตลอด แม้จะพยายามแสดงความเป็นเอกภาพต่อหน้าสื่อ แต่เบื้องหลังกลับมีรายงานว่ามีเสียงไม่พอใจเรื่องโควตา ครม. และการแบ่งงบประมาณโครงการสำคัญ
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า การซักฟอกครั้งนี้อาจเป็นโอกาสให้บางกลุ่มภายในพรรคร่วมรัฐบาลแสดงอิทธิพลต่อรองอำนาจใหม่ หากฝ่ายค้านมีข้อมูลแน่นและสามารถดึงเสียงโหวตไม่ไว้วางใจได้เพียงพอ รัฐมนตรีบางคนอาจต้องลาออกเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของรัฐบาล ขณะเดียวกันก็อาจนำไปสู่การเจรจาปรับ ครม. รอบใหม่ หรือแม้กระทั่งแตกขั้วทางการเมืองในอนาคต
ศึกซักฟอกกลางสภาครั้งนี้จึงเปรียบได้กับสมรภูมิที่ไม่มีสูตรตายตัว ใครจะอยู่หรือไป ขึ้นอยู่กับข้อมูล หลักฐาน ท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาล และการชิงไหวชิงพริบทางการเมืองทั้งในห้องประชุมและนอกสภา
สิ่งที่ต้องจับตาคือ หากฝ่ายค้านสามารถพลิกเสียงได้จริง ไม่เพียงแต่รัฐมนตรีบางคนอาจต้องพ้นตำแหน่ง แต่สมดุลอำนาจของรัฐบาลชุดนี้อาจเปลี่ยนมืออย่างเงียบ ๆ เปิดทางไปสู่การปรับ ครม. หรือแม้กระทั่งการยุบสภาเพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ หากสถานการณ์ลุกลามเกินควบคุม
สุดท้ายแล้ว การอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ใช่เพียงเกมต่อรองเก้าอี้ของนักการเมือง หากแต่ควรเป็น “เวทีสาธารณะ” ที่จะเปิดโปง ปรับปรุง และกดดันให้รัฐบาลที่ใช้อำนาจภาษีประชาชนต้องแสดงความโปร่งใสอย่างถึงที่สุด
เพราะหากเกมนี้จบลงโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีคนรับผิดชอบ และประชาชนไม่ได้ประโยชน์ ศึกซักฟอกกลางสภาก็อาจไม่ต่างจากละครการเมือง ที่ฉายซ้ำบนเวทีเดิมอย่างไร้ความหมาย
Don't miss a story
Subscribe to our email newsletter:
Don't worry we hate spam as much as you do



