จับตาสนามเลือกตั้งท้องถิ่น : การเมืองฐานรากกำลังเปลี่ยนไป?
ในช่วงเวลาที่การเมืองระดับประเทศกำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนจากการเจรจารัฐบาลผสมรอบใหม่ เสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี และความไม่แน่นอนด้านเสถียรภาพในสภา นักวิเคราะห์กลับพบว่ามีอีกสนามที่กำลังเปลี่ยนโฉมเงียบ ๆ แต่อาจส่งผลระยะยาวต่อโครงสร้างอำนาจการเมืองไทยอย่างสำคัญ นั่นคือ สนามเลือกตั้งท้องถิ่น
แม้การเลือกตั้งผู้ว่าราชการ อบจ. อบต. เทศบาล หรือสภาองค์การบริหารส่วนตำบลจะดูเหมือนเรื่องไกลตัวสำหรับใครหลายคน แต่ความจริงแล้ว การเมืองท้องถิ่นคือรากฐานที่ปูทางไปสู่การเมืองระดับชาติ และครั้งนี้หลายฝ่ายเชื่อว่า สัญญาณของการเปลี่ยนแปลงได้เริ่มก่อตัวแล้ว
โครงสร้างอำนาจที่เริ่มสั่นคลอน — ทุนท้องถิ่นกำลังถูกท้าทาย
ที่ผ่านมา โครงสร้างอำนาจการเมืองท้องถิ่นในหลายพื้นที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มการเมืองท้องถิ่นที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายทุน ข้าราชการท้องถิ่น และนักการเมืองระดับชาติ เครือข่ายเหล่านี้แข็งแรงด้วยระบบหัวคะแนน วงจรบุญคุณ และการจัดสรรงบประมาณพัฒนาพื้นที่ ที่ช่วยรักษาฐานเสียงได้อย่างเหนียวแน่น
แต่เมื่อสังคมเปลี่ยน ความคาดหวังของคนรุ่นใหม่และคนในชุมชนเปลี่ยน การตั้งคำถามต่อ “อำนาจแบบเดิม” เริ่มเกิดขึ้น หลายจังหวัดมีผู้สมัครหน้าใหม่ในนามอิสระ หรือในนามพรรคการเมืองใหม่ ๆ ลงสู้กับขั้วเดิมอย่างจริงจัง จุดนี้เองที่นักรัฐศาสตร์มองว่าเป็นสัญญาณว่า การเมืองฐานรากอาจอยู่ระหว่างการปรับสมดุลครั้งใหญ่

ตัวแปรสำคัญ: คนรุ่นใหม่ – โซเชียลมีเดีย – เครือข่ายพลเมือง
แรงขับเคลื่อนที่น่าจับตาที่สุด คือการตื่นตัวทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ แม้ในระดับท้องถิ่นที่เคยถูกมองว่า “ถูกผูกขาด” โดยผู้มีอิทธิพลและนายทุน เมื่อเครือข่ายเยาวชนและกลุ่มพลเมืองเริ่มสร้างกลไกตรวจสอบการใช้งบประมาณท้องถิ่น และใช้พลังโซเชียลมีเดียเผยแพร่ข้อมูล การเมืองท้องถิ่นจึงไม่เงียบเหมือนอดีตอีกต่อไป
งานวิจัยหลายชิ้นชี้ตรงกันว่า “การเมืองท้องถิ่น” เป็นพื้นที่ที่คนรุ่นใหม่เริ่มทดลองบทบาทการเป็นนักปกครอง นักบริหาร และผู้มีส่วนร่วมทางนโยบาย ทั้งในฐานะผู้สมัครสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือในฐานะนักกิจกรรมที่เข้าไปตรวจสอบความโปร่งใส จุดนี้เองที่นักวิชาการมองว่า หากฐานรากเปลี่ยนจริง ภูมิทัศน์การเมืองระดับชาติจะต้องเปลี่ยนตามอย่างเลี่ยงไม่ได้
ผลกระทบต่อพรรคใหญ่ — แหล่งป้อนทุนเสียงอาจสั่นคลอน
สำหรับพรรคการเมืองระดับชาติ โครงสร้างอำนาจของนักการเมืองท้องถิ่นถือเป็น “ฐานเสียงสำรอง” ที่สำคัญ เพราะการมีเครือข่ายท้องถิ่นเข้มแข็ง หมายถึงการมีหัวคะแนน มีทีมสนับสนุน และมีงบประมาณหาเสียงที่ไหลเวียนได้สะดวก
หากเครือข่ายท้องถิ่นเดิมเริ่มถูกท้าทายด้วยกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือผู้สมัครอิสระที่ไม่ยึดโยงผลประโยชน์แบบเก่า พรรคการเมืองใหญ่ที่เคยพึ่งพาการต่อรองผลประโยชน์ระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่นก็อาจต้องปรับยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ เพราะไม่เพียงแต่จะกระทบฐานเสียงในระดับท้องถิ่นโดยตรง แต่ยังสะเทือนมาถึงการเลือกตั้ง ส.ส. ในเขตเลือกตั้งนั้น ๆ ได้ด้วย
นี่คือสิ่งที่สะท้อนว่า ประชาชนไม่ได้พอใจเพียงการพัฒนาเชิงกายภาพ เช่น ถนนหรือไฟส่องสว่าง แต่ต้องการเห็นการจัดการงบประมาณที่ตอบโจทย์คนในชุมชนจริง ๆ ลดช่องว่างการรั่วไหลของงบ และเพิ่มโอกาสให้คนตัวเล็กมีสิทธิ์ตั้งคำถามกับคนตัวใหญ่ได้อย่างแท้จริง
สนามเลือกตั้งท้องถิ่นจึงไม่ใช่เรื่องเล็กหรือวงการเมืองเฉพาะกลุ่มอีกต่อไป หากแต่เป็น “ห้องทดลอง” ที่จะบอกได้ว่าประชาธิปไตยไทยจะเติบโตไปได้มากน้อยเพียงใดในอนาคต หากการเมืองฐานรากเปลี่ยน เครือข่ายทุนแบบเก่าถูกท้าทาย ระบบตรวจสอบในท้องถิ่นเข้มแข็งขึ้น การเลือกตั้งระดับชาติย่อมหนีไม่พ้นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับกระแสสังคมด้วย
คำถามที่ยังไม่มีคำตอบแน่ชัดคือ คนรุ่นใหม่และประชาชนจะสามารถรักษาพลังการมีส่วนร่วมนี้ไว้ได้ยาวนานเพียงใด และเครือข่ายอำนาจเดิมจะปรับตัวหรือสลายตัวไปในรูปแบบไหน — คำตอบทั้งหมดคงต้องติดตามในสนามเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งต่อไป ที่อาจไม่ใช่แค่การเปลี่ยนนายก อบต. หรือ ส.อบจ. แต่คือสัญญาณสะเทือนการเมืองไทยทั้งระบบ
Don't miss a story
Subscribe to our email newsletter:
Don't worry we hate spam as much as you do



