Share Tweet Pin it

การละเล่นพื้นบ้าน : สะท้อนภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยที่ไม่ควรสูญหาย


ในยุคสังคมดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามาแทนที่หลายอย่างในชีวิตประจำวัน เสียงหัวเราะร่าเริงของเด็ก ๆ ที่เคยวิ่งเล่นกลางลานวัด หรือริมทุ่งนา ดูเหมือนจะจางหายไปพร้อมกับวิถีพื้นถิ่นที่ถูกหลงลืมไปทีละน้อย ทว่าหากมองย้อนกลับไป “การละเล่นพื้นบ้านไทย” ไม่ใช่แค่กิจกรรมสนุกสนานของเด็กเมื่อหลายสิบปีก่อน หากแต่เป็นกระจกสะท้อนภูมิปัญญา วิถีชีวิต และค่านิยมทางสังคมไทยที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน

รากเหง้าของการละเล่น : มากกว่าความสนุก

การละเล่นพื้นบ้านไทยมีมาแต่โบราณ ส่วนใหญ่เกิดจากวิถีชีวิตชนบทที่เรียบง่าย ใช้สิ่งของรอบตัว เช่น ไม้ไผ่ เชือก ดินน้ำมัน หรือแม้แต่มือเปล่า ก็สามารถสร้างเสียงหัวเราะและพลังสร้างสรรค์ได้อย่างมหัศจรรย์ ไม่ว่าจะเป็น รีรีข้าวสาร มอญซ่อนผ้า ตี่จับ ชักเย่อ ม้าก้านกล้วย หรือหมากเก็บ ทุกอย่างล้วนแฝงด้วยหลักการเรียนรู้ร่วมกัน รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย และการอยู่ร่วมกันอย่างมีน้ำใจนักกีฬา

การละเล่นพื้นบ้านกับการสร้างปฏิสัมพันธ์ในสังคม

หัวใจสำคัญของการละเล่นพื้นบ้าน คือ การสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชน เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้กติกา การรอคอย การให้อภัย และการช่วยเหลือกันผ่านกิจกรรมที่แม้ดูเรียบง่าย แต่แฝงคุณค่าทางสังคมอย่างลึกซึ้ง เช่น

  • มอญซ่อนผ้า สอนให้รู้จักสังเกตและไหวพริบ
  • ชักเย่อ เสริมความสามัคคีและพลังกลุ่ม
  • ตีคลีหรือตะกร้อลอดห่วง ฝึกสมาธิและความเป็นผู้นำ

สิ่งเหล่านี้จึงไม่ได้สร้างความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังบ่มเพาะทักษะชีวิตที่เด็กยุคใหม่อาจขาดหายไปเมื่อเปลี่ยนมาอยู่หน้าจอ

ภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดสู่ศิลปวัฒนธรรม

หลายการละเล่นได้พัฒนาต่อยอดเป็นการแสดงพื้นบ้าน เช่น เซิ้ง กระบี่กระบอง หรือแม้แต่กีฬาพื้นเมืองอย่างมวยไทย ไก่ชน ว่าวไทย ที่ล้วนฝังรากอยู่กับภูมิปัญญาท้องถิ่น สะท้อนถึงความเป็นอยู่ ภูมิประเทศ และความเชื่อของคนในชุมชน ไม่ว่าภาคเหนือ กลาง อีสาน หรือใต้ ก็จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามทรัพยากรและประเพณีท้องถิ่น

ความท้าทาย : จะรักษาการละเล่นพื้นบ้านได้อย่างไร

ในปัจจุบัน การละเล่นพื้นบ้านหลายอย่างเริ่มเลือนหายไปจากสนามเด็กเล่นและลานวัด เนื่องจากวิถีชีวิตสังคมเมือง ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และสื่อสมัยใหม่ที่เข้ามาแทนที่ แม้บางโรงเรียนหรือชุมชนจะยังพยายามจัดกิจกรรมเพื่อฟื้นฟู แต่การขาดการมีส่วนร่วมอย่างจริงจังก็อาจทำให้เหลือเพียงความทรงจำในหนังสือเรียน

การอนุรักษ์จึงไม่ใช่แค่การจัดงานประจำปีหรือเขียนลงตำราเท่านั้น หากต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมจริง เช่น เปิดลานการละเล่นในโรงเรียน จัดกิจกรรมวันสำคัญประจำหมู่บ้าน หรือสอดแทรกวิชา “ภูมิปัญญาท้องถิ่น” ให้เด็กรุ่นใหม่เห็นคุณค่าและสนุกไปกับมัน

บทสรุป : วิถีที่ต้องไม่สูญหาย

“การละเล่นพื้นบ้าน” จึงไม่ใช่แค่ภาพอดีต หากแต่เป็นรากที่ควรหยั่งลึกในใจคนรุ่นใหม่ เพราะมันคือมรดกทางวัฒนธรรมที่ถักทอความสัมพันธ์ระหว่างคน วิถีชีวิต และธรรมชาติ เมื่อใดที่เราเห็นคุณค่าและเปิดพื้นที่ให้เด็ก ๆ ได้วิ่งเล่น ร้องเพลงหัวเราะบนลานวัดหรือสนามหญ้าอีกครั้ง เมื่อนั้นภูมิปัญญาที่บ่มเพาะความสุขเรียบง่ายและความสามัคคีจะยังคงมีลมหายใจ ไม่สูญสลายไปกับกาลเวลา


Don't miss a story

Subscribe to our email newsletter:

Don't worry we hate spam as much as you do

Related Articles

Business

Description

by Rana F.Sep. 28, 20162
Business

Description

by Rana F.Sep. 28, 20162
Business

Description

by Rana F.Sep. 28, 20162

Leave a reply