เศรษฐกิจไทยปี 2567: โอกาสและความท้าทายหลังวิกฤตเศรษฐกิจโลก
ท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจระดับโลกที่เกิดขึ้นตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยในฐานะหนึ่งในศูนย์กลางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ย่อมได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตั้งแต่ผลกระทบของโรคระบาดโควิด-19 สงครามการค้า ไปจนถึงความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนและโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก
เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2567 ท่ามกลางสัญญาณฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในหลายมิติ ไทยต้องเผชิญกับโจทย์สำคัญว่าจะใช้โอกาสและรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนนี้อย่างไร เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่เศรษฐกิจภายในประเทศและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
สถานการณ์เศรษฐกิจโลก: เงื่อนไขที่ประเทศไทยต้องเผชิญ
แม้จะมีสัญญาณฟื้นตัวในบางประเทศ แต่เศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในภาวะเปราะบางจากหลายปัจจัย ทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐอเมริกา อัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงในบางภูมิภาค ตลอดจนทิศทางนโยบายการเงินที่แตกต่างกันของธนาคารกลางสำคัญทั่วโลก สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างแรงกดดันต่อกระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายและค่าเงินบาท
อย่างไรก็ดี จุดแข็งของไทยยังอยู่ที่ฐานการส่งออกที่หลากหลาย โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหาร การท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวเต็มรูปแบบ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชิงยุทธศาสตร์ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงและศูนย์กลางโลจิสติกส์ ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและตลาดใหม่ ๆ

โอกาสทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2567
การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน อินเดีย และภูมิภาคตะวันออกกลาง มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากหลายประเทศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคและเปิดประเทศเต็มรูปแบบ คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2567 อาจแตะระดับใกล้เคียงกับก่อนเกิดโรคระบาด ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคบริการ การจ้างงาน และการกระจายรายได้สู่ภูมิภาค
การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve Industries) โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมอนาคต อาทิ ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ดิจิทัล และชีวภาพ หากรัฐบาลเดินหน้าอย่างจริงจังในการปรับปรุงกฎระเบียบ ลดอุปสรรคทางการลงทุน และพัฒนาทักษะแรงงาน จะช่วยให้ไทยยกระดับสู่ห่วงโซ่การผลิตที่มีมูลค่าสูงขึ้น
การปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียวและดิจิทัล การตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมทั่วโลกทำให้ผู้ประกอบการไทยหลายภาคส่วนหันมาให้ความสำคัญกับแนวทาง ESG (Environment, Social, Governance) มากขึ้น พร้อมทั้งขยายการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน ระดับความพร้อมนี้อาจสร้างแต้มต่อทางการแข่งขันระยะยาว และดึงดูดผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน
ความท้าทายสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม
แม้จะมีปัจจัยบวกหลายด้าน เศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญกับอุปสรรคสำคัญ ได้แก่
- หนี้ครัวเรือนในระดับสูง อัตราหนี้ครัวเรือนไทยยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 90% ต่อ GDP ทำให้การบริโภคภายในประเทศถูกจำกัด ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูงกดดันความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของกำลังซื้อ
- โครงสร้างประชากรสูงวัย ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้แรงงานในวัยทำงานลดลงต่อเนื่อง ความท้าทายอยู่ที่การยกระดับผลิตภาพแรงงานผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงการปรับปรุงสวัสดิการและระบบบำนาญให้เพียงพอต่อความต้องการในอนาคต
- ความไม่แน่นอนทางการเมือง เสถียรภาพทางการเมืองยังเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต่างชาติจับตามองอย่างใกล้ชิด การเดินหน้าโครงการลงทุนระยะยาวและการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจำเป็นต้องอาศัยความต่อเนื่องทางนโยบายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งในและนอกประเทศ
ปี 2567 อาจถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ประเทศไทยต้องเร่งเสริมความแข็งแกร่งในมิติที่ไทยยังได้เปรียบ พร้อมจัดการจุดอ่อนที่สะสมมานาน การกระจายความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาตลาดเดิม ขยายการค้าและการลงทุนกับตลาดใหม่ รวมถึงการพัฒนาทุนมนุษย์อย่างต่อเนื่อง จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยยืนหยัดอย่างยั่งยืนในเวทีเศรษฐกิจโลก
แม้เส้นทางจะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่หากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมกันปรับตัวตามเทรนด์โลกอย่างเป็นระบบ ย่อมเป็นไปได้ที่ประเทศไทยจะก้าวผ่านวิกฤต และแปรเปลี่ยนให้เป็นโอกาสใหม่ที่มั่นคงและยั่งยืน
Don't miss a story
Subscribe to our email newsletter:
Don't worry we hate spam as much as you do



