Share Tweet Pin it

เกษตรกรไทยกับการตลาดออนไลน์ ทางรอดใหม่ของภาคการเกษตรกร


ในยุคที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ภาคการเกษตรของไทย ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นภาคเศรษฐกิจดั้งเดิมที่ปรับตัวได้ช้า กำลังเริ่มพลิกบทบาทของตนเองอย่างเงียบ ๆ โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับความท้าทายรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นราคาผลผลิตตกต่ำ ปัญหานายหน้าควบคุมตลาด ความเสี่ยงจากสภาพอากาศที่แปรปรวน ตลอดจนต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การเข้าสู่ตลาดออนไลน์จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางรอดใหม่ของเกษตรกรไทย ที่ไม่เพียงแต่ช่วยเปิดตลาดใหม่ แต่ยังสร้างโอกาสในการเปลี่ยนผ่านสู่เกษตรกรยุคใหม่ที่มีความรู้และเข้มแข็งมากขึ้น

ในอดีต เกษตรกรไทยส่วนใหญ่พึ่งพาตลาดกลางหรือพ่อค้าคนกลางในการจำหน่ายผลผลิต ซึ่งทำให้ขาดอำนาจต่อรองในด้านราคาและรูปแบบการจัดจำหน่าย ส่งผลให้รายได้ไม่สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตอย่างเป็นธรรม แม้ภาครัฐจะมีโครงการสนับสนุนในรูปแบบสหกรณ์หรือตลาดเกษตรกร แต่ก็ยังไม่สามารถครอบคลุมปัญหาได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรรายย่อยที่อยู่ห่างไกลจากโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและตลาดบริโภคหลัก อย่างไรก็ตาม การมาถึงของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ ได้เปิดประตูใหม่ให้กับเกษตรกรที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงโดยไม่ต้องผ่านคนกลางอีกต่อไป

แพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Facebook, LINE, TikTok, Lazada, Shopee หรือแม้แต่การเปิดเพจร้านค้าของตนเองบนเว็บไซต์ เริ่มกลายเป็นเครื่องมือที่เกษตรกรยุคใหม่ใช้ในการนำเสนอสินค้าเกษตร ไม่ว่าจะเป็นผลไม้สด ผักปลอดสารอินทรีย์ ข้าวสารจากนาเกษตรธรรมชาติ หรือผลิตภัณฑ์แปรรูปจากชุมชน ความสะดวกในการนำเสนอสินค้า การโต้ตอบกับลูกค้า และความสามารถในการรับเงินผ่านระบบออนไลน์ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกษตรกรไทยหลายรายเริ่มลุกขึ้นมาเรียนรู้การตลาดดิจิทัลด้วยตนเอง

ข้อได้เปรียบของการตลาดออนไลน์ไม่ใช่เพียงการตัดคนกลางออกจากระบบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการที่เกษตรกรสามารถเล่าเรื่องราวของสินค้า (Storytelling) เพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น ข้าวที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมี ผลไม้จากไร่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม หรือสมุนไพรจากชาวบ้านที่สืบทอดภูมิปัญญามานานหลายรุ่น สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้บริโภคมีความรู้สึกเชื่อมโยงกับสินค้า และยินดีจ่ายในราคาที่สูงขึ้นเพื่อแลกกับคุณค่าและความจริงใจของผู้ผลิต

ในขณะเดียวกัน การตลาดออนไลน์ยังเปิดโอกาสให้เกษตรกรเข้าถึงตลาดในเมืองใหญ่หรือแม้แต่ตลาดต่างประเทศได้ง่ายขึ้น การขายพืชผักปลอดสารจากภาคเหนือไปยังผู้บริโภคในกรุงเทพฯ หรือการส่งมะม่วงอินทรีย์ไปยังผู้ค้ารายย่อยในต่างประเทศ ล้วนเกิดขึ้นได้จริงในยุคดิจิทัล นอกจากนี้ยังเกิดเครือข่ายความร่วมมือระหว่างเกษตรกร ผู้แปรรูป และนักการตลาดออนไลน์ที่สามารถร่วมกันสร้างแบรนด์สินค้าท้องถิ่นให้เติบโตในตลาดเชิงพาณิชย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม เส้นทางนี้ยังมีอุปสรรคสำคัญที่ต้องเผชิญ เช่น ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ชนบท การขาดทักษะด้านดิจิทัลของเกษตรกรรุ่นเก่า ปัญหาด้านโลจิสติกส์ที่ยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าสดให้คงคุณภาพระหว่างเดินทาง ตลอดจนการแข่งขันกับผู้ค้าที่มีทุนและการตลาดที่เหนือกว่า สิ่งเหล่านี้ทำให้เกษตรกรบางส่วนยังลังเลที่จะปรับตัว หรือปรับตัวได้ช้าเมื่อเทียบกับความเปลี่ยนแปลงของโลก

ขณะเดียวกัน สถาบันการศึกษาและองค์กรวิชาชีพควรเร่งวิจัยและพัฒนาโมเดลการค้าขายเกษตรออนไลน์ในลักษณะเฉพาะที่สอดคล้องกับบริบทของเกษตรกรไทย เช่น การรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ออนไลน์ การสร้างแอปพลิเคชันเฉพาะกลุ่ม การให้บริการด้านแพ็กเกจจิ้งหรือออกแบบแบรนด์สินค้าในราคาย่อมเยา เพื่อให้เกษตรกรสามารถแข่งขันได้ในโลกดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

ในที่สุด การตลาดออนไลน์จะกลายเป็นมากกว่าทางเลือก แต่จะเป็น “โครงสร้างใหม่” ของภาคการเกษตรไทยที่มีความยั่งยืน หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยเฉพาะการยกระดับทักษะ ความรู้ และความเข้าใจของเกษตรกรให้สามารถบริหารธุรกิจของตนเองได้อย่างมั่นใจ เทคโนโลยีจะมิใช่เพียงเครื่องมือ แต่จะกลายเป็นสะพานที่เชื่อมเกษตรกรไทยจากท้องไร่ท้องนาเข้าสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ได้อย่างภาคภูมิ


Don't miss a story

Subscribe to our email newsletter:

Don't worry we hate spam as much as you do

Related Articles

Business

Description

by Rana F.Sep. 28, 20162
Business

Description

by Rana F.Sep. 28, 20162
Business

Description

by Rana F.Sep. 28, 20162

Leave a reply