อาการ Burnout กับความเครียดในที่ทำงาน
ในยุคที่การทำงานแข่งขันกันสูง หลายคนอาจต้องเผชิญกับภาวะ “Burnout” หรือภาวะหมดไฟในการทำงาน โดยไม่ทันรู้ตัว ซึ่งแตกต่างจากความเหนื่อยล้าทั่วไป เพราะ Burnout คือสภาวะที่สะสมจากความเครียดเรื้อรัง ส่งผลทั้งทางร่างกาย จิตใจ และความสัมพันธ์ในการทำงาน
องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดให้ Burnout เป็นกลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกับงานอย่างเป็นทางการ โดยมักเกิดขึ้นในคนที่ทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือมีภาระหน้าที่ที่ควบคุมไม่ได้
สัญญาณเตือนของ Burnout

– รู้สึกหมดแรงตลอดเวลา แม้จะนอนหลับเต็มที่ – ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน เหมือน “ต้องฝืนทำ” – เริ่มมองงานในแง่ลบ หงุดหงิดง่าย ไม่อยากเข้าสังคม – ประสิทธิภาพการทำงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด
สรุปประเด็นสำคัญ
- Burnout ไม่ใช่ความขี้เกียจ แต่คือปัญหาสุขภาพจิต
- มักเกิดจากความเครียดเรื้อรัง ขาดความสมดุลระหว่างงานกับชีวิต
- สามารถป้องกันและฟื้นฟูได้หากรู้เท่าทัน
ผลกระทบจาก Burnout ไม่ได้หยุดแค่บุคคล แต่ยังส่งผลต่อองค์กร เช่น การขาดงาน การลาออกบ่อย หรือประสิทธิภาพที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียทรัพยากรบุคคลระยะยาว
วิธีป้องกันและจัดการกับ Burnout
1. รู้จักพัก: จัดสรรเวลาให้ตัวเองหยุดพักจริง ๆ ทั้งในระหว่างวันและวันหยุด 2. ตั้งขอบเขตงาน: อย่าให้เวลางานรุกล้ำเวลาส่วนตัว 3. พูดคุย: หาคนที่ไว้ใจได้เพื่อระบายความเครียด 4. ดูแลสุขภาพ: นอนให้พอ ออกกำลังกาย และกินอาหารที่ดีต่อร่างกาย
“คุณไม่จำเป็นต้อง ‘เก่งตลอดเวลา’ เพราะมนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร”
องค์กรเองก็มีบทบาทสำคัญในการป้องกัน Burnout เช่น สร้างวัฒนธรรมที่เข้าใจเรื่องสุขภาพจิต สนับสนุนเวลาพัก และเปิดโอกาสให้พนักงานมีเสียงในเรื่องภาระงาน
- สนับสนุน Work-Life Balance อย่างจริงจัง
- ส่งเสริมการพูดคุยอย่างเปิดใจในองค์กร
- จัดกิจกรรมหรืออบรมเกี่ยวกับการจัดการความเครียด
Burnout อาจฟังดูไกลตัว แต่ความจริงแล้วมันอาจอยู่ใกล้กว่าที่คิด การเรียนรู้สัญญาณเตือนและรู้จักดูแลตัวเองคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณทำงานได้อย่างมีความสุขและยั่งยืนในระยะยาว
Don't miss a story
Subscribe to our email newsletter:
Don't worry we hate spam as much as you do



