สถานการณ์การสู้รบที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 10 ปี: ช่วง 24–28 กรกฎาคม 2025
ในช่วงวันที่ 24–28 กรกฎาคม 2025 พื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาถูกเขย่าด้วยสถานการณ์การสู้รบที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 10 ปี เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความสูญเสียทางชีวิตและทรัพย์สิน แต่ยังทิ้งรอยแผลลึกต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและเสถียรภาพของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นผลพวงโดยตรงจากข้อพิพาทเขตแดนที่ยืดเยื้อมานาน และความล้มเหลวในการเจรจาไกล่เกลี่ยที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
การปะทะเริ่มจากเหตุการณ์ยิงปืนใหญ่และปืนกลข้ามแดน ส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายตอบโต้กันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน สถานการณ์ทวีความรุนแรงจนต้องมีการอพยพประชาชนหลายพันคนออกจากพื้นที่ใกล้จุดปะทะ ขณะเดียวกันกองกำลังเสริมจากทั้งสองประเทศก็ถูกระดมเข้าสู่พื้นที่เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการ
ลักษณะของการสู้รบ
การสู้รบในครั้งนี้มีลักษณะเป็นการปะทะกันด้วยอาวุธหนักและอาวุธเบาสลับกัน การใช้ปืนใหญ่ระยะไกลและปืนครกทำให้พื้นที่ชุมชนใกล้ชายแดนได้รับความเสียหายอย่างหนัก นอกจากนี้ยังมีการใช้โดรนลาดตระเวนและโดรนโจมตีเพื่อเก็บข้อมูลและโจมตีจุดยุทธศาสตร์ของฝ่ายตรงข้าม
สรุปประเด็นสำคัญ
- การสู้รบเกิดขึ้นต่อเนื่อง 5 วันเต็ม
- มีการใช้อาวุธหนักรวมถึงปืนใหญ่และปืนครก
- การอพยพประชาชนหลายพันคนจากพื้นที่เสี่ยง

สถานการณ์นี้ทำให้ชุมชนชายแดนต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนอย่างรุนแรง โรงเรียนและตลาดท้องถิ่นถูกปิด การสัญจรข้ามแดนถูกระงับ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง องค์กรบรรเทาทุกข์ต้องเร่งเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เด็ก และผู้พิการที่ไม่สามารถอพยพได้ด้วยตนเอง
การตอบสนองของรัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศ
รัฐบาลทั้งสองประเทศออกแถลงการณ์กล่าวโทษกันและกันว่าเป็นฝ่ายเริ่มโจมตี ขณะที่อาเซียนและสหประชาชาติเรียกร้องให้หยุดยิงทันทีและเข้าสู่กระบวนการเจรจา มีการจัดตั้งช่องทางการสื่อสารด่วนระหว่างกองทัพทั้งสองฝ่ายเพื่อลดความเข้าใจผิดและป้องกันการปะทะซ้ำ
“ทุกกระสุนที่ยิงออกไป ไม่เพียงทำลายเป้าหมาย แต่ยังทำลายโอกาสในการสร้างสันติภาพ”
คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความจริงที่ว่าความรุนแรงในสงครามไม่เพียงสร้างความสูญเสียในปัจจุบัน แต่ยังส่งผลกระทบต่ออนาคตของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การสู้รบครั้งนี้ทำให้ความพยายามฟื้นฟูการเจรจาสันติภาพต้องเริ่มใหม่เกือบทั้งหมด
ผลกระทบระยะยาว
ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน โรงพยาบาล และระบบสาธารณูปโภค ทำให้การฟื้นฟูต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือแม้แต่หลายปี ความหวาดระแวงระหว่างประชาชนสองฝั่งชายแดนเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจท้องถิ่นต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัว
- โครงสร้างพื้นฐานเสียหายหนัก
- ความเชื่อมั่นระหว่างประเทศลดลง
- การฟื้นฟูเศรษฐกิจใช้เวลานาน
ท้ายที่สุด เหตุการณ์การสู้รบในช่วง 24–28 กรกฎาคม 2025 ได้กลายเป็นเครื่องเตือนใจว่า ความขัดแย้งที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริงสามารถปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ และความรุนแรงที่เกิดขึ้นอาจทวีความซับซ้อนจนยากจะควบคุม การลงทุนในสันติภาพและการทูตป้องกันจึงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ามากกว่าการเผชิญหน้าด้วยอาวุธ
Don't miss a story
Subscribe to our email newsletter
Don't worry we hate spam as much as you do



