คลื่นความร้อนถล่มยุโรป อุณหภูมิพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ วิกฤตใหม่ของภูมิอากาศโลก
สัปดาห์ที่ผ่านมา หลายประเทศในยุโรปต้องเผชิญกับคลื่นความร้อน (Heatwave) ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยอุณหภูมิพุ่งสูงกว่า 45°C ในบางพื้นที่ ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประชาชน เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม วิกฤตความร้อนระลอกใหม่นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแบบเฉพาะจุด แต่ลามไปทั่วฝรั่งเศส สเปน อิตาลี เยอรมนี กรีซ และยุโรปตะวันออก กลายเป็นสัญญาณเตือนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่โลกต้องเร่งรับมือ
สำนักอุตุนิยมวิทยายุโรป (ECMWF) รายงานว่า ปี 2025 นี้เป็นปีที่อุณหภูมิเฉลี่ยของยุโรปสูงสุดนับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูล อากาศร้อนจัดต่อเนื่องยาวนานถึง 2-3 สัปดาห์ในบางประเทศ ทำให้เมืองใหญ่อย่างปารีส โรม มาดริด และเอเธนส์ มีอุณหภูมิกลางวันแตะ 44-46°C เกิดสถิติใหม่ในหลายพื้นที่ ขณะที่เวลากลางคืนอากาศยังร้อนอบอ้าวมากกว่าค่าเฉลี่ยเดิมถึง 5-7 องศา
รายงานของ WHO และองค์การอุตุนิยมวิทยาโลกเตือนว่า คลื่นความร้อนรอบนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากโรคระบบทางเดินหายใจและโรคลมแดดเพิ่มขึ้นหลายพันรายในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ทั้งยังทำให้ระบบสาธารณสุขในบางเมืองเริ่มตึงเครียดจากผู้ป่วยล้นเตียง

สาเหตุและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง
นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่าคลื่นความร้อนครั้งนี้เกิดจากปรากฏการณ์ “โดมความร้อน” (Heat Dome) ซึ่งทำให้อากาศร้อนถูกกักขังเหนือยุโรปกลางและใต้เป็นเวลานาน รวมถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่ทำให้ฤดูร้อนของยุโรปยาวนานขึ้นและร้อนขึ้นเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ยังมีภาวะ El Niño ที่รุนแรงซ้ำเติม ทำให้อากาศแห้งและร้อนผิดปกติทั่วภูมิภาค
ผลกระทบไม่ได้จำกัดแค่กับคนเท่านั้น แต่ยังสร้างความเสียหายต่อธรรมชาติและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง พื้นที่ป่าไม้หลายล้านไร่ในกรีซ สเปน และอิตาลี เกิดไฟป่าครั้งใหญ่ กระทบต่อที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและคุณภาพอากาศ ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพหนีไฟป่าเป็นพันครัวเรือน ขณะที่ฝุ่นควันลอยปกคลุมเมืองใหญ่จนระดับฝุ่น PM2.5 พุ่งสูงเกินมาตรฐาน
ภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมอาหารของยุโรปได้รับผลกระทบหนัก ผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าวสาลี ข้าวโพด และองุ่น ลดลงกว่าปีที่แล้วกว่า 30% ทำให้ราคาสินค้าเกษตรและอาหารในยุโรปพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ยังเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำและไฟฟ้าดับชั่วคราวในหลายเมือง เพราะระบบโครงข่ายไฟฟ้าไม่สามารถรองรับการใช้ไฟฟ้าสำหรับเครื่องปรับอากาศได้
แหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่างพิพิธภัณฑ์ ลานกลางแจ้ง และกิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ ในยุโรปต้องหยุดชะงัก หรือปิดบริการชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย ขณะที่นักท่องเที่ยวหลายหมื่นคนยกเลิกหรือเลื่อนการเดินทางออกไป ส่งผลกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวในฤดูร้อนอย่างชัดเจน
มาตรการรับมือและความท้าทายของยุโรป
รัฐบาลของหลายประเทศเร่งออกมาตรการรับมือฉุกเฉิน เช่น เปิดศูนย์พักร้อน (Cooling Centers) แจกจ่ายน้ำดื่มและหน้ากากกันฝุ่นฟรี ประกาศคำแนะนำให้ประชาชนอยู่แต่ในร่ม หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายกลางแจ้งช่วงกลางวัน งดใช้รถยนต์ส่วนตัวเพื่อลดการปล่อยไอเสีย และขอความร่วมมือให้โรงงานอุตสาหกรรมลดการใช้พลังงาน
ระบบสาธารณสุขในเมืองใหญ่ของยุโรปต้องเตรียมรับมือกับจำนวนผู้ป่วยจากคลื่นความร้อนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งโรคลมแดด โรคระบบทางเดินหายใจ และอาการเจ็บป่วยจากฝุ่นละออง ทางการสาธารณสุขยังเน้นให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากทางการอย่างใกล้ชิดและช่วยกันเฝ้าระวังกลุ่มเปราะบางในชุมชน
หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมและภาควิชาการต่างเรียกร้องให้ยุโรปเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น การเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมือง ระบบจัดการน้ำแบบยั่งยืน และการพัฒนาที่อยู่อาศัยประหยัดพลังงาน พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อลดความถี่และความรุนแรงของคลื่นความร้อนในอนาคต
อีกหนึ่งปัญหาคือความเหลื่อมล้ำทางสังคม เพราะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือผู้สูงอายุเข้าถึงเครื่องปรับอากาศและที่พักอาศัยที่ปลอดภัยได้น้อยกว่าคนกลุ่มอื่น รัฐบาลและองค์กรสังคมต้องเข้ามาอุดช่องว่างและดูแลกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้อย่างใกล้ชิด
อนาคตของภูมิอากาศยุโรปและบทเรียนสำหรับโลก
ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศเตือนว่าคลื่นความร้อนจะกลายเป็นเรื่องปกติใหม่ (“New Normal”) ของยุโรปและโลกในอนาคต หากไม่มีมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง รายงาน IPCC ล่าสุดประเมินว่าภายในปี 2030 คลื่นความร้อนอาจเกิดขึ้นปีละหลายครั้งและรุนแรงกว่านี้อีกเท่าตัว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คน ระบบเศรษฐกิจ และระบบนิเวศอย่างยาวนาน
ทั้งนี้ คลื่นความร้อนรอบนี้ถือเป็น “สัญญาณเตือน” ที่ทั่วโลกต้องใส่ใจการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเร่งหาทางออก ทั้งการปรับตัว การลดการใช้พลังงานฟอสซิล การลงทุนในพลังงานสะอาด และการพัฒนาระบบเตือนภัยและดูแลประชาชนในสถานการณ์ฉุกเฉิน
สุดท้าย หลายประเทศในยุโรปได้เริ่มทดลองนโยบายใหม่ๆ เช่น การลดภาษีอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน การส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะไฟฟ้า หรือการจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยความร้อน เพื่อรับมือกับความท้าทายที่ไม่เคยมีมาก่อนของยุคสมัยนี้
คลื่นความร้อนในยุโรปปี 2025 เป็นเครื่องเตือนใจทั้งต่อรัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชนทั่วโลกว่า “วิกฤตภูมิอากาศ” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันหาทางออกอย่างจริงจังและเร่งด่วน
Don't miss a story
Subscribe to our email newsletter:
Don't worry we hate spam as much as you do



