ข่าวปลอมแพร่ในโซเชียล รัฐเร่งปราบปราม
ในยุคที่โซเชียลมีเดียกลายเป็นแหล่งข้อมูลหลักของประชาชน ข่าวปลอมหรือ “เฟกนิวส์” (Fake News) กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง สร้างความสับสน ยั่วยุความหวาดระแวง และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสังคม รัฐบาลจึงต้องเร่งวางมาตรการปราบปราม พร้อมบูรณาการร่วมกับแพลตฟอร์มออนไลน์และภาคประชาสังคม เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของข้อมูลเท็จ
ล่าสุด คณะกรรมการด้านความมั่นคงทางไซเบอร์แห่งชาติ (National Cybersecurity Committee) ได้ออกแถลงการณ์ว่า จะจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-Checking Center) ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้สร้างและแชร์ข่าวปลอมที่สร้างความเสียหายต่อความสงบเรียบร้อยและความเชื่อมั่นของประชาชน

แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียสำคัญทั้ง Facebook, Twitter, Instagram และ TikTok ได้รับหนังสือเชิญจากภาครัฐให้ร่วมมือในการตรวจสอบและลบเนื้อหาที่เป็นข่าวปลอมอย่างทันท่วงที พร้อมพัฒนาระบบ AI เพื่อช่วยตรวจจับคีย์เวิร์ดหรือรูปแบบการโพสต์ที่บ่งชี้ถึงข่าวปลอมโดยอัตโนมัติ ป้องกันการแพร่กระจายวงกว้าง
ในระดับภูมิภาค อาเซียนก็มีความร่วมมือผ่านกรอบงาน ASEAN Cybersecurity Cooperation Strategy เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์ในการรับมือกับการแพร่กระจายข้อมูลเท็จข้ามชาติ โดยแต่ละประเทศได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าร่วมฝึกอบรมด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริงและการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้บนโซเชียลมีเดีย
ขั้นตอนตรวจสอบและปราบปราม
- จัดตั้งศูนย์ Fact-Checking Center ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมภาครัฐและภาคประชาสังคม
- ประสานงานกับแพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อลบเนื้อหาผิดกฎหมายทันทีที่ตรวจพบ
- ใช้ AI วิเคราะห์ข้อความ รูปภาพ และวิดีโอที่มีลักษณะแพร่ข่าวปลอม
- ดำเนินคดีผู้สร้าง แชร์ หรือส่งต่อข่าวปลอมตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
- รณรงค์ให้ประชาชนตรวจสอบข่าวจากหลายแหล่งก่อนเผยแพร่ และฝึกใช้เครื่องมือ fact-check ออนไลน์
ผลสำรวจความเห็นประชาชนโดยสถาบันวิจัยด้านสื่อระดับประเทศ พบว่ากว่า 72% ของผู้ใช้โซเชียลมีเดียเคยพบข่าวปลอมผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ และ 45% ยอมรับว่าเคยแชร์ข้อมูลโดยไม่ได้ตรวจสอบ จึงเป็นเครื่องยืนยันว่าการสร้างจิตสำนึกรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) เป็นสิ่งจำเป็น
กระทรวงศึกษาธิการจึงเตรียมนำหลักสูตร Media Literacy เข้าเป็นวิชาพื้นฐานในระดับมัธยมศึกษา และสนับสนุนการจัดเวิร์กช็อปให้บุคลากรในโรงเรียน ฝึกทักษะการแยกแยะข่าวจริง-ปลอม การประเมินแหล่งข้อมูล และการใช้เครื่องมือออนไลน์ในการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้เยาวชนรู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อของข่าวปลอม
องค์กรภาคประชาสังคมและสื่อมวลชนอิสระต่างร่วมมือจัดตั้งโครงการ “เปิดโปงข่าวปลอม” ที่ดำเนินการผ่านเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน ช่วยประชาชนตรวจสอบข่าวสดใหม่ พร้อมเผยแพร่บทวิเคราะห์ที่เข้าใจง่าย จึงเป็นหนึ่งในตัวอย่างความร่วมมือที่สร้างผลลัพธ์เป็นรูปธรรม
บทสรุป
การต่อสู้กับข่าวปลอมต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ แพลตฟอร์มออนไลน์ สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป การรับผิดชอบต่อเนื้อหาที่เผยแพร่ รวมถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนคลิกแชร์ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยปกป้องสังคมไทยให้มั่นคงและโปร่งใสมากขึ้น ในขณะที่การปลูกฝังจิตสำนึกการรู้เท่าทันสื่อตั้งแต่เยาว์วัยจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคมไทยไม่ตกเป็นเหยื่อข่าวปลอมในอนาคต
Don't miss a story
Subscribe to our email newsletter:
Don't worry we hate spam as much as you do



