Share Tweet Pin it

การเคลื่อนไหวของรัฐบาลสหรัฐฯ และอดีตประธานาธิบดี Trump ในการกดดันให้มีเจรจาสงบศึก


ท่ามกลางความรุนแรงที่ปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่องระหว่างไทยและกัมพูชาในปี 2025 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มบทบาทของตนในฐานะผู้ไกล่เกลี่ย โดยใช้ทั้งช่องทางการทูตและแรงกดดันทางเศรษฐกิจเพื่อผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายเข้าสู่โต๊ะเจรจาสงบศึก ความเคลื่อนไหวนี้ยิ่งได้รับความสนใจมากขึ้นเมื่ออดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งยังคงมีอิทธิพลทางการเมืองในสหรัฐฯ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นและติดต่อผู้นำทั้งสองประเทศอย่างไม่เป็นทางการ

รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีคนปัจจุบันได้ส่งคณะผู้แทนพิเศษจากกระทรวงการต่างประเทศเดินทางไปยังกรุงเทพฯ และพนมเปญ เพื่อหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงเกี่ยวกับการหยุดยิง ขณะเดียวกันก็มีการใช้ช่องทางของสหประชาชาติและอาเซียนเพื่อสนับสนุนการเจรจา

บทบาทของอดีตประธานาธิบดี Trump

แม้ไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ อีกต่อไป แต่ทรัมป์ยังคงเป็นบุคคลที่มีเครือข่ายทางธุรกิจและการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เขาได้ออกแถลงการณ์ส่วนตัวเรียกร้องให้ไทยและกัมพูชาหยุดใช้ความรุนแรง และเสนอความช่วยเหลือในการเป็น “ตัวกลาง” ในการเจรจา ซึ่งแม้จะไม่ได้รับการยืนยันจากรัฐบาลสหรัฐฯ แต่ก็สร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองและสื่อ

สรุปประเด็นสำคัญ
  • สหรัฐฯ ใช้ทั้งการทูตและแรงกดดันทางเศรษฐกิจเพื่อผลักดันให้มีการหยุดยิง
  • อดีตประธานาธิบดี Trump แสดงบทบาทเชิงไม่เป็นทางการ
  • มีการประสานงานผ่านทั้งสหประชาชาติและอาเซียน

การเข้ามามีบทบาทของสหรัฐฯ ทำให้สถานการณ์เริ่มมีแรงกดดันจากภายนอกมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการส่งสัญญาณว่าหากทั้งสองประเทศไม่แสดงความคืบหน้าในการเจรจา อาจมีมาตรการจำกัดทางเศรษฐกิจหรือการระงับความช่วยเหลือบางประเภท

ปฏิกิริยาจากไทยและกัมพูชา

ฝั่งไทยยืนยันว่าพร้อมเข้าสู่การเจรจาหากกัมพูชาหยุดการบุกรุกและถอนกำลังออกจากพื้นที่พิพาท ขณะที่ฝั่งกัมพูชากล่าวว่าพร้อมพูดคุยแต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการเคารพอธิปไตยและเส้นเขตแดนตามที่ตนยึดถืออยู่ ความแตกต่างในจุดยืนนี้ยังคงเป็นอุปสรรคหลักต่อการเจรจา

“แรงกดดันจากภายนอกสามารถเร่งการเจรจา แต่ไม่อาจแทนที่ความตั้งใจจริงของคู่ขัดแย้งได้”

คำกล่าวนี้สะท้อนถึงข้อเท็จจริงว่าแม้การแทรกแซงของชาติมหาอำนาจจะช่วยเร่งกระบวนการเจรจา แต่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความเต็มใจของคู่ขัดแยงเป็นหลัก

แนวโน้มในอนาคต

นักวิเคราะห์เชื่อว่าหากสหรัฐฯ สามารถประสานให้มีการพบกันระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศได้ อาจนำไปสู่การหยุดยิงชั่วคราวในระยะเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตาม ความคงทนของสันติภาพจะขึ้นอยู่กับการแก้ไขข้อพิพาทเชิงโครงสร้างและการสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาว

  • โอกาสเกิดการหยุดยิงชั่วคราวภายในไม่กี่เดือน
  • ความจำเป็นในการสร้างกลไกติดตามข้อตกลง
  • ความเสี่ยงที่ความขัดแย้งจะปะทุขึ้นอีกหากไม่มีการแก้ปัญหาที่รากเหง้า

ในภาพรวม บทบาทของสหรัฐฯ และอดีตประธานาธิบดี Trump ในครั้งนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์มีความซับซ้อนมากขึ้น แต่ก็เปิดโอกาสให้เกิดช่องทางการเจรจาที่ไม่เคยมีมาก่อน หากทั้งสองประเทศสามารถใช้แรงกดดันจากภายนอกนี้เป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อหาทางออก สันติภาพที่ยั่งยืนก็อาจอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม


Don't miss a story

Subscribe to our email newsletter

Don't worry we hate spam as much as you do

Related Articles

Business

Description

by Rana F.Sep. 28, 20162
Business

Description

by Rana F.Sep. 28, 20162
Business

Description

by Rana F.Sep. 28, 20162

Leave a reply