Share Tweet Pin it

การสั่งปิดโรงพยาบาล 9 แห่งและศูนย์สุขภาพ 128 แห่งในพื้นที่ชายแดนไทย


สถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชาในปี 2025 ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อความปลอดภัยของประชาชน แต่ยังสร้างวิกฤติด้านสาธารณสุขอย่างรุนแรง เมื่อกระทรวงสาธารณสุขประกาศสั่งปิดโรงพยาบาล 9 แห่งและศูนย์สุขภาพ 128 แห่งในพื้นที่ชายแดน เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการโจมตีและความเสียหายจากการสู้รบ การตัดสินใจครั้งนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของประชาชนในพื้นที่

พื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่เป็นเขตใกล้แนวปะทะ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกโจมตีด้วยอาวุธหนักและการปะทะระหว่างกองกำลัง การดำเนินงานของโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพถูกจำกัดเนื่องจากบุคลากรทางการแพทย์ต้องอพยพเพื่อความปลอดภัย และเส้นทางลำเลียงเวชภัณฑ์ถูกตัดขาด

เหตุผลของการปิดสถานพยาบาล

การสั่งปิดเกิดขึ้นจากความจำเป็นทางความปลอดภัย เนื่องจากหลายแห่งตกอยู่ในรัศมีการโจมตีและไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยแก่บุคลากรและผู้ป่วยได้ การคงเปิดให้บริการในพื้นที่เสี่ยงอาจทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตเพิ่มเติม

สรุปประเด็นสำคัญ
  • ปิดโรงพยาบาล 9 แห่งและศูนย์สุขภาพ 128 แห่งในพื้นที่ชายแดน
  • เหตุผลหลักคือความปลอดภัยของบุคลากรและผู้ป่วย
  • เส้นทางลำเลียงเวชภัณฑ์ถูกตัดขาดจากการปะทะ

การปิดสถานพยาบาลเหล่านี้ทำให้ประชาชนจำนวนมากในพื้นที่ชายแดนไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้ ต้องพึ่งพาหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และค่ายบรรเทาทุกข์ ซึ่งมักมีทรัพยากรจำกัดและไม่สามารถรองรับความต้องการทั้งหมดได้

ผลกระทบด้านมนุษยธรรม

ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ต้องหยุดการรักษาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น ขณะที่ผู้บาดเจ็บจากการสู้รบจำนวนมากต้องรอการส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในพื้นที่ปลอดภัยซึ่งอยู่ไกลออกไปหลายสิบกิโลเมตร

“เมื่อสถานพยาบาลปิดลง ความเจ็บป่วยไม่หยุดรอ และชีวิตที่สูญเสียก็ไม่สามารถเรียกคืนได้”

คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของผลกระทบด้านมนุษยธรรมที่เกิดจากการขาดแคลนการเข้าถึงบริการทางการแพทย์

มาตรการแก้ไขชั่วคราว

รัฐบาลและองค์กรบรรเทาทุกข์ได้จัดตั้งศูนย์แพทย์เคลื่อนที่ชั่วคราวและใช้หน่วยแพทย์ทหารสนับสนุนการรักษาในพื้นที่เสี่ยง พร้อมทั้งเปิดจุดรับ–ส่งผู้ป่วยที่แนวปลอดภัย เพื่อให้สามารถลำเลียงผู้บาดเจ็บและผู้ป่วยโรคเรื้อรังไปยังโรงพยาบาลหลักได้อย่างรวดเร็ว

  • ตั้งศูนย์แพทย์เคลื่อนที่และจุดรับ–ส่งผู้ป่วย
  • ใช้บุคลากรทางการแพทย์ทหารร่วมกับแพทย์อาสา
  • ประสานงานกับองค์การระหว่างประเทศเพื่อจัดหาเวชภัณฑ์

ในระยะยาว การฟื้นฟูระบบสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดนจำเป็นต้องอาศัยการลงทุนทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากร รวมถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อให้โรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพสามารถดำเนินงานได้แม้ในภาวะความขัดแย้ง การสร้างระบบป้องกันและแผนฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดความสูญเสียหากเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต


Don't miss a story

Subscribe to our email newsletter

Don't worry we hate spam as much as you do

Related Articles

Business

Description

by Rana F.Sep. 28, 20162
Business

Description

by Rana F.Sep. 28, 20162
Business

Description

by Rana F.Sep. 28, 20162

Leave a reply