Ghibli เผยโปรเจกต์ใหม่ “The Dream Watcher” เตรียมฉายปลายปี

หลังจากคว้ารางวัลเกียรติยศระดับนานาชาติจาก The Boy and the Heron และการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมร่วมสมัยของโลก Studio Ghibli ก็ไม่หยุดสร้างความมหัศจรรย์ ล่าสุดได้เปิดตัวโปรเจกต์แอนิเมชันเรื่องใหม่ภายใต้ชื่อ “The Dream Watcher” ซึ่งจะเข้าฉายทั่วโลกในช่วงปลายปี 2025

โปรเจกต์นี้สร้างความตื่นเต้นในวงการแอนิเมชันระดับโลก โดยเฉพาะในกลุ่มแฟนพันธุ์แท้ของ Ghibli ที่รอคอยผลงานชิ้นต่อไปหลังยุคของมิยาซากิ ฮายาโอะ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการอนิเมะญี่ปุ่น

🌙 เรื่องย่อเบื้องต้น: ผู้เฝ้าฝันในโลกที่หลับใหล

แม้ยังไม่มีการเปิดเผยเนื้อหาทั้งหมด แต่ Studio Ghibli ได้ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่า “The Dream Watcher” จะเป็นเรื่องราวของ เด็กหญิงชื่อ “โฮรุมิ” ผู้สามารถมองเห็นและเดินทางไปยัง “มิติของความฝัน” ซึ่งเป็นโลกเบื้องหลังของความเป็นจริงที่ทุกคนเข้าไปในยามหลับ

เธอได้พบกับสิ่งมีชีวิตลึกลับชื่อ “เอนโดร์” ซึ่งเป็น “ผู้เฝ้าฝัน” หรือ Dream Watcher ที่คอยดูแลไม่ให้ความฝันของมนุษย์แตกสลายหรือกลายเป็นฝันร้ายถาวร โฮรุมิต้องเดินทางผ่านเขาวงกตของความทรงจำ ความหวัง และความกลัว เพื่อช่วยเหลือผู้คนในชีวิตจริงที่เธอรัก – โดยเฉพาะแม่ที่ป่วยและน้องชายที่มีความวิตกกังวลรุนแรง

ธีมของเรื่องจะผสมผสานระหว่าง ปรัชญา การเติบโตทางจิตใจ และจินตนาการเหนือจริง ในแบบที่ Ghibli ถนัดที่สุด

🖌️ ภาพลายเส้น – สไตล์ใหม่ในความคลาสสิก

The Dream Watcher ยังคงใช้เทคนิควาดมือแบบดั้งเดิม (hand-drawn animation) ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Ghibli แต่จะเพิ่มเทคนิคแสงและเงาแบบดิจิทัลมากขึ้น เพื่อถ่ายทอด “บรรยากาศของความฝัน” ให้รู้สึกล่องลอย ไม่แน่นอน และน่าค้นหา

ตัวอย่างภาพคอนเซ็ปต์ที่ปล่อยออกมา แสดงให้เห็นโลกของ “ความฝัน” ที่เต็มไปด้วยเกาะลอยฟ้า ปราสาทแสงเงา และตัวละครในรูปร่างแปลกประหลาดที่ดูทั้งน่ารักและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน คล้ายกลิ่นอายของ Spirited Away ผสมกับ Paprika ของซาโตชิ คน

📅 กำหนดฉายและการจัดแสดงพิเศษ

The Dream Watcher มีกำหนด ฉายในญี่ปุ่นช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2025 และจะเปิดตัวแบบอินเตอร์ในเทศกาลภาพยนตร์ Berlin International Film Festival 2026 โดย Ghibli ยังมีแผนจัดนิทรรศการเบื้องหลังการสร้าง ภายใต้ธีม “ฝันในมือศิลปิน” ที่พิพิธภัณฑ์ Ghibli ณ มิทากะ โตเกียว

The Dream Watcher คือบทพิสูจน์ของทีม Ghibli รุ่นใหม่ว่าจะสามารถรักษา “จิตวิญญาณของความงดงาม” ในแบบที่มิยาซากิได้วางรากฐานไว้หรือไม่ ขณะเดียวกันก็เป็นบทใหม่ที่ Ghibli กล้าจะเติบโตและสร้างภาษาภาพยนตร์ของตนเองต่อไปในยุคใหม่